วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ความคิดนั้นเป็นเหมือนปีศาจที่ร้ายกาจสำหรับมนุษย์ แต่คนที่สร้างขึ้นมาก็คือมนุษย์เอง

เพียงแค่หนังสือ เล่มเดียว ที่ใครๆได้มองข้ามไป มันสามารถขจัดความคิดอันชั่วร้ายของคุณได้


หัวข้อที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ก็ยังอยู่ในหัวข้อ หนังสือ 1 เล่ม ที่กระผมได้สัมผัสและเคยอ่านซ้ำมาบ้าง
แต่มันก็ได้ประโยชน์มากขึ้น ทุกๆครั้งที่ได้อ่าน ก็จะเข้าใจได้มากขึ้น และมันก็เปลี่ยนเรื่องของความ
คิดเราไปจากเดิม เหมือนชีวิตปกติของคนเรา ที่ต้องเรียนรู้ได้จากประสบการณ์

แล้วก่อนที่จะไปเนื้อหาของหนังสือที่ผมได้อ่าน และนำมาแบ่งปันกับทุกๆคน ในหลายๆบทความ
ก่อนหน้านี้ และอีกอย่าง ก่อนที่ผมจะมาเริ่มเขียนบทความต่อจากเดิม ผมก็ได้ทำการ
เขียนข้อมูลดีๆ และแนวทางในการสร้าง ธุรกิจของผม ผมได้เผยแพร่ ไปยัง แฟนเพจ
Facebook : Lengt Successful ก่อนที่จะมาเขียนต่อไปจากนี้ แต่ในบทความก่อนๆ
ผมเคยบอกว่าจะเล่าประสบการณ์ชีวิตควบคู่ไปด้วย ซึ่งก็เกี่ยวตรงกับหัวข้อที่บทความนี้
ในเรื่องของความคิด จากเดิมก่อนที่ผมจะมาถึงปัจจุบันนี้ ถึงผมจะยังไม่ประสบผลสำเร็จเลย

แต่สิ่งที่ได้มาคือประสบการณ์ อันล้ำค่าที่ไม่สามารถวัดเป็นตัวเงินได้ อีกอย่างคือเรื่อง ของทัศนคติ
และความคิดที่ต่างไปจากแต่ก่อน นั่นคือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ 2 ปีที่ผ่านมาหลัง
จากออกมาจากโลกที่แคบๆ ของตัวเอง คือ ห้องสี่เหลี่ยมอันแคบๆ ที่บ้านกับ Notebook 1 เครื่อง

พอได้เผชิญโลกแห่งความจริงมันต่างจากเดิมเยอะไปเลย และยังไม่พอประสบการณ์ยังสอนผมหลาย
สิ่งหลายอย่างที่คนทั่วๆไป ไม่เคยสัมผัสนั่นก็คือ ความรู้ที่โรงเรียนไม่เคยสอนให้กับเราเลย

ผมขอจบสั้นๆแค่นี้ก่อนที่จะไปต่อบทความใน หนังสือพ่อรวยสอนลูก ที่ผมได้เขียนไว้ต่อจากบท
ความเดิมในหัวข้อที่มีชื่อว่า วันเสาร์เข้าแถวคอย ถ้าทุกคนเคยได้อ่านแล้วอาจจะยังไม่เข้าใจ
ในตอนแรกแต่เมื่อผ่านไป ประสบการณ์จะบอกกับคุณเองพอคุณได้กลับมาอ่านใหม่ คุณจะเข้าใจได้
ลึกมากขึ้น โดยที่มันจะเป็นอะไรที่คุ้มค่ามากๆ ถ้าคุณได้เข้าใจมันอย่างถ่องแท้ เพราะความรู้ที่เรามี
มันจะอยู่ตลอดไปชั่วชีวิต

ต่อที่หัวข้อต่อไปที่ผมจะเอาข้อมูลจากหนังสือ มาแบ่งปัน ซึ่ง ควบทั้ง 2 หัวข้อเลย

1. คนรวยไม่ทำงานเพื่อเงิน (ซึ่งก็ยังอยู่ในหัวข้อนี้อยู่เพราะหัวข้ออื่นๆจะย่อยลงไป)

2. เลี่ยงหลุมพลาง

จากบทก่อน โรเบิร์ตได้เรียนรู้กับพ่อรวยมากขึ้น เกี่ยวกับเรื่องการทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง

ตอนนี้ก็จะเข้าสู่ บทเรียนที่ 1 ของโรเบิร์ต : คนรวยไม่ทำงานเพื่อเงิน

     โรเบิร์ตได้บอกกับพ่อจน (พ่อแท้ๆ ของโรเบิร์ตเอง) เรื่องที่ทำงานโดยไม่ได้ค่าจ้าง เพราะเกรงว่าพ่อ
จะไม่เข้าใจ และโรเบิร์ตเองก็เชื่อว่าคงอธิบายให้ท่านเข้าใจไม่ได้ จะอธิบายได้ยังไงในเมื่อ โรเบิร์ต เอง
ยังไม่เข้าใจในตัวเองเลย

     โรเบิร์ตกับไมค์ทำงานโดยไม่ได้เงินมาสามสัปดาห์แล้ว สิ่งที่ดีคือ พวกเขาทำงานได้เร็วขึ้น ง่ายขึ้น
แต่ก็อดนึกถึงเบสบอลกับหนังสือการ์ตูนที่เคยซื้ออ่านอยู่เป็นประจำไม่ได้ วันหนึ่งพ่อรวยแวะมาที่ร้าน
เขาทักทายคุณมาร์ตินหยิบไอศกรีมในตู้มาสองแท่ง จ่ายเงิน แล้วเดินมาหาเด็กทั้งสองคน

พ่อรวย : "ไปเดินเล่นกันไหมเด็กๆ"

ทั้งสองคนเดินข้ามถนนไปยังสนามซอฟต์บอล แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ริมสนามหญ้า พ่อรวยยื่นไอศกรีมให้กับทั้งสองคนละแท่ง

พ่อรวย : "เป็นยังไงบ้าง"

     ไมค์ : "โอเคครับ" โรเบิร์ตพยักหน้าตาม

พ่อรวย : "ได้เรียนรู้อะไรบ้างละ"

     ไมค์หันมองหน้าโรเบิร์ตและส่ายหัวพร้อมๆกัน

หัวข้อที่ต่อจากนี้ เลี่ยงหลุมพลาง

พ่อรวย : "สิ่งที่ฉันอยากให้เธอทำก็คือ เริ่มคิดและมองหาหนทาง พวกเธอจะได้เริ่มบทเรียนที่สำคัญ
ของชีวิตจากจุดนี้ ถ้าเธอเรียนรู้มันได้ เธอจะมีชีวิตที่อิสระและมั่นคง แต่ถ้าเธอไม่เรียน ชีวิตเธอก็จะ
เหมือนคุณมาร์ตินและคนที่กำลังเล่นซอฟต็บอลอยู่ที่นั่น พวกเขาทำงานหนัก เงินเดือนน้อย ยึดติด
อยู่กับงานที่คิดว่ามั่นคง รอคอยวันพักร้อนและเงินสำรองเลี้ยงชีพก้อนเล็กๆ หลังเกษียณ ถ้าชอบชีวิต
แบบนี้ ฉันจะขึ้นค่าจ้างให้เธอเป็นชั่วโมงละ 25 เซนต์"


โรเบิร์ต : "แต่พวกเขาเป็นคนดี ขยันทำงาน ทำไมคุณพูดจาเยาะเย้ยพวกเขา"

พ่อรวย : "เปล่าเลย ฉันรักและนับถือคุณมาร์ตินเหมือนแม่ของฉันเองเสียด้วยซ้ำ แต่ที่ฉันเลือกใช้คำ
พูดที่แรง ก็เพื่อต้องการให้เธอสองคนเห็นภาพที่หลายคนมองไม่เห็น เพราะวิสัยทัศน์อันคับแคบของ
พวกเขาเอง ทำให้พวกเขามองไม่เห็นกับดัก"

     โรเบิร์ต กับ ไมค์ นั่งนิ่ง รู้สึกไม่สบายใจกับคำพูดอันแสนใจร้ายของพ่อรวย

พ่อรวย : "น่าสนใจไหม ชั่วโมงละ 25 เซนต์ มันทำให้หัวใจของพวกเธอเต้นแรงขึ้นบ้างไหม"

     โรเบิร์ต กับ ไมค์ มองหน้ากัน พร้อมกับส่ายศีรษะปฏิเสธ แต่ในใจรู้สึกเสียดายอยู่บ้างเหมือนกัน

พ่อรวย : "โอเค งั้นชั่วโมงละ 1 เหรียญ" พ่อรวยยื่นข้อเสนอ พร้อมกับรอยยิ้มที่แฝงด้วยเลสนัย

คราวนี้ใจ โรเบิร์ต เต้นโครมคราม สมองทุกส่วนตะโกนบอกว่า "เอาเลย" โรเบิร์ต แทบจะไม่อยาก
เชื่อหูตัวเอง แต่ก็ยังนิ่งไม่ตกปากรักคำ

พ่อรวย : "โอเค งั้นชัวโมงละ 2 เหรียญ" หัวใจน้อยๆของ โรเบิร์ต แทบจะระเบิด ในปี 1956 ค่าจ้าง
ชั่วโมงละ 2 เหรียญ จะทำให้ โรเบิร์ต เป็นเด็กที่รวยที่สุดในยุคนั้นได้อย่างสบาย ขณะที่กำลังคิด
ภาพรถจักรยานคันใหม่ ถุงมือเบสบอลคู่ใหม่ และรอยยิ้มบนใบหน้าของพรรคพวกที่โรงเรียนเมื่อ
เห็นเงินในมือของ โรเบิร์ต ยิ่งไปกว่านั้น จิมมี กับพวกจะหาว่า โรเบิร์ต เป็นเด็กจนไม่ได้อีกต่อไป
แต่ด้วยความสับสน โรเบิร์ต ยังคงนิ่งต่อ


ไอศกรีมเริ่มละลายเปื้อนมือของ โรเบิร์ต ไปหมด พ่อรวยนั่งมองเด็กสองคนที่กำลังอ้าปากค้าง
ในขณะที่สมองของทั้งสองนั้นว่างเปล่า พ่อรวยกำลังทดสอบเด็กทั้งสองคน ท่านรู้ดีว่ามนุษย์ทุกคน
มีด้านที่อ่อนแอ ละโมภ และยอมให้ซื้อได้ด้วยเงิน กับด้านที่แข็งแกร่งและไม่ยอมให้เงินจำนวนมาก
มาเอาชนะได้ พ่อรวย กำลังรอดูว่าด้านใดในตัวของเด็กทั้งสองเป็นด้านที่แข็งแกร่งกว่า พ่อรวยเคย
ทดสอบคนมาแล้วมากมายจากการสัมภาษณ์คนที่มาสมัครงานนั่นเอง


     พ่อรวย : "ถ้างั้น...ชั่วโมงละ 5 เหรียญ"

     ในที่สุดจิตใจของ โรเบิร์ต ก็เริ่มสงบ เพราะข้อเสนอของพ่อรวยนั้นสูงเกินไป แม้แต่ผู้ใหญ่ยังไม่ได้
ค่าจ้างในอัตรานี้ ความกระหายอยากได้เงินของ โรเบิร์ต สลายตัวไปในพริบตา โรเบิร์ต หันไปมอง ไมค์
ซึ่ง ไมค์ เองกรู้สึกเช่นเดียวกัน ด้านที่เงินซื้อไม่ได้เริ่มแสดงตัวออกมา


     พ่อรวย : "ดีมาก คนจำนวนมากสามารถซื้อได้ เพราะความกลัวและความโลภ ของพวกเขา
อย่างแรกคือ กลัวไม่มีเงิน ทำให้คนเรายอมทำงานหนัก เมื่อได้รับค่าจ้างเขาก็เกิดความโลภ อยากได้
สิ่งนั้นสิ่งนี้เท่าที่เงินจะสรรหาให้ได้จากนั้นวงจรซ้ำๆ ในชีวิตก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น"


     โรเบิร์ต : "วงจรซ้ำๆ คืออะไรครับ"

     พ่อรวย : "ก็วงจรของการตื่นเช้า ไปทำงาน หาเงินใช้หนี้ ตื่นเช้า ไปทำงาน หาเงินใช้หนี้ ยังไงล่ะ
พวกเขาใช้ชีวิตเป็นวงจรแบบนี้ เพราะอารมณ์กลัวและโลภของพวกเขาเอง ยิ่งถ้าเธอให้เงินพวกเขาเพิ่มขึ้น พวกเขาก็จะขยายวงจรนี้ให้ใหญ่ขึ้นด้วยการเพิ่มค่าใช้จ่ายของตัวเอง และนี่คือสิ่งที่เราเรียกกันว่า
สนามแข่งหนู"


     ไมค์ : "แล้วมีทางเลือกอื่นไหมครับ"

     พ่อรวย : "มีสิ แต่น้อยคนนักที่จะพบกับเส้นทางนี้" พ่อรวยตอบอย่างช้าๆ

     ไมค์ : "มันคือทางไหนครับ"

     พ่อรวย : "ก็ทางที่พ่อกำลังสอนเธออยู่นี่ไงล่ะ

     ไมค์ : "เราจะเริ่มมันได้อย่างไรครับ เราไม่อยากต้องทำงานหนัก โดยไม่ได้อะไรเลย"

     พ่อรวย : "ขั้นแรก ต้องเริ่มจากการพูดความจริงกับตัวเอง"

     โรเบิร์ต : "มีใครโกหกเหรอครับ"

     พ่อรวย : "ฉันไม่ได้บอกว่ามีใครโกหก ฉันแค่บอกว่าให้พูดความจริง"

     โรเบิร์ต : "ความจริงเกี่ยวกับอะไรครับ"

     พ่อรวย : "ตอนนี้เธอรู้สึกยังไงล่ะ เธอไม่ต้องบอกมันกับคนอื่นหรอก แค่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเอง
รู้สึกก็พอ"

     โรเบิร์ต : "คุณกำลังหมายความว่า พวกที่กำลังเดินเล่นในสวนอยู่ตอนนี้ คนงานของคุณ และ
คุณมาร์ติน กำลังไม่พูดความจริงกับตัวเองเหรอครับ"

     พ่อรวย : "ฉันคิดว่าอย่างนั้นนะ" พ่อรวยตอบ "คิดดูสิ พวกเขากลัวการไม่มีเงิน แต่แทนที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวดังกล่าวตรงๆ พวกเขากลับตอบสนองต่อปัญหาด้วยอารมณ์แทนที่จะใช้สมอง ทุกครั้งที่ได้เงิน อารมณ์ของความสนุก ปรารถนา และโลภ จะกลับเข้ามาครอบงำพวกเขาเสียทุกครั้งไป สุดท้ายสิ่งที่พวกเขาทำก็เหมือนเดิม นั่นคือ ทำตามอารมณ์โดยไม่คิด"

     ไมค์ : "และเมื่อถึงตอนนั้น อารมณ์ก็จะควบคุมสมองพวกเขา"

     พ่อรวย : "ถูกต้องที่สุด" พ่อรวยร้องขึ้นมา "แทนที่จะยอมรับว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร พวกเขากลับตอบสนองต่อความรู้สึกนั้นแบบตรงไปตรงมา โดยปราศจากการคิด พวกเขากลัวไม่มีเงิน จึงออกไปทำงาน และหวังว่าเงินนั้นจะทำให้ความกลัวหายไป แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย ความรู้สึกนั้นกลับมาอีก พวกเขาจึงต้องออกไปทำงานอีก และก็หวังอีกว่าเงินที่ได้จากการทำงานจะช่วยทำให้ความกลัวหายไป
แต่มันก็เหมือนเดิม.

     "ความกลัวทำให้พวกเขาติดกับดักของการทำงาน รับเงินเดือน ทำงานรับเงินเดือน ทำงาน รับเงินเดือน โดยหวังว่าเงินเดือนจะทำให้ความกลัวของพวกเขาหายไป แต่ยิ่งนานวัน ความกลัวนั้นก็ยิ่งขยายตัวขึ้น และย้อนกลับมาปลุกพวกเขาในทุกเช้าเหมือนเดิม เงินเริ่มควบคุมชีวิตของพวกเขา และผลักให้พวกเขาต้องทำงานที่มันสั่ง ที่แย่ก็คือ ไม่มีใครยอมรับความจริงข้อนี้ สุดท้าย เงินจึงควบคุมทั้งอารมณ์และจิตวิญญาณของพวกเขาได้โดยสมบูรณ์"


     พ่อรวยนิ่งไปสักครู่ เหมือนต้องการให้พวกเด็กทั้งสองคนคิดทบทวนในสิ่งที่ท่านพูดไป ไมค์ และ
โรเบิร์ต ได้ยินทุกคำที่พ่อรวยสอน แต่ยอมรับว่าไม่เข้าใจมันทั้งหมด สิ่งที่ โรเบิร์ต เริ่มเข้าใจก็คือ ทำไมผู้ใหญ่ถึงต้องรีบตื่นแต่เช้า และรีบร้อนไปทำงานด้วยหน้าตาที่ไม่มีความสุข เหมือนกับมีบางสิ่งบางอย่าง
บังคับให้พวกเขาต้องไป

     เมื่อเห็นว่าเด็กทั้งสองซึมซับในสิ่งที่สอนไปได้บ้างแล้ว พ่อรวยจึงพูดต่อ

     "ฉันอยากให้เธอสองคนหลีกเลี่ยงกับดักอันนี้ นี่คือสิ่งที่ฉันตั้งใจและอยากจะสอนพวกเธอ ไม่ใช่เพื่อความร่ำรวย เพราะความร่ำรวยไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา


     โรเบิร์ต : "ไม่ใช่เหรอครับ" โรเบิร์ต ถามด้วยความแปลกใจ

     พ่อรวย : "ไม่ใช่ ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งที่คนเราทุกคนมีคือ ความอยากได้ บางคนเรียกมันว่า
ความโลภ แต่ฉันคิดว่าเรียกมันว่า ความอยากน่าจะเหมาะกว่า คนเราต้องการทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีกว่า
สวยกว่า สนุกกว่า หรือตื่นเต้นกว่าอยู่เสมอ ดังนั้น พวกเขาจึงยอมทำงานเพื่อเงิน เพราะต้องการตอบสนองความอยากได้อยากมีของตัวเอง พวกเขาใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อหาความสุขที่มากขึ้น ความเพลิดเพลินที่มากขึ้น ความสะดวกสบายและความปลอดภัยที่มากขึ้น ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงต้องทำงานต่อไป และหวังเอาว่าเงินจะช่วยบรรเทาความเจ็บป่วยทางใจของตัวเองอันเกิดจากความกลัวและความโลภได้ แต่สุดท้ายเงินก็ช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้"

     ไมค์: "แม้แต่พวกเศรษฐีอย่างนั้นหรือครับ"

     พ่อรวย: "คนรวยก็ด้วยเหมือนกัน สาเหตุที่คนพวกนี้มีเงินมาก ไม่ใช่เพราะความอยากได้ แต่เป็น
เพราะความกลัว พวกเขาเชื่อว่าเงินทำให้พวกเขาไม่ต้องกลัวความจน ดังนั้น พวกเขาจึงพยายามสะสม
เงินให้มากเข้าไว้ แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่อยู่ดี ยิ่งมีเงินมาก พวกเขาก็ยิ่งกลัวมากขึ้น ไม่ใช่กลัวจน แต่กลัวว่า
มันจะหายหรือหมดไป ฉันมีเพื่อนหลายคนที่ยังคงทำงานหนัก แม้จะมีเงินมากมายชนิดที่ใช้ไม่มีวันหมด และยังมีเพื่อนบางคนที่มีเงินหลายล้านเหรียญ แต่กลับขี้กลัวยิ่งกว่าตอนสมัยที่ยังไม่มีเงินเสียอีก
พวกเขากลัวว่าจะสูญเสียทุกอย่างไป กลัวว่าจะต้องเสียรถราคาแพง กลัวเสียบ้านหลังใหญ่เสียดายความสะดวกสบาย ชีวิตที่หรูหรา และเสียเพื่อนฝูงที่รายล้อมไปในวันที่พวกเขาไม่มีเงิน บางคนแทบจะเป็นบ้า
แม้ว่าจะมีเงินมากซักแค่ไหนก็ตาม"

     โรเบิร์ต: "อย่างนั้นคนจนก็มีความสุขกว่าสิครับ

     พ่อรวย: "ไม่หรอก" "ชีวิตที่ไม่มีเงินนั้นเลวร้ายพอๆ กันกับชีวิตที่ผูกติดกับเงินนั่นละ"

     
     ราวกับจัดฉากเอาไว้ ขณะที่พวกเด็กทั้งสองคุยกับ พ่อรวย ถึงตรงนี้ ก็มีคนจรจัดคนหนึ่งเข้ามาคุ้ย
     ถังขยะในบริเวณใกล้ๆ ทั้งสามคนนั่งมองภาพที่ปรากฎบนหน้าด้วยความสนใจ แทนที่จะมองผ่าน
     ไปอย่างเช่นทุกครั้ง

     พ่อรวยหยิบเงินส่งให้ชายจรจัดคนนั้น เขาลนลานเอื้อมมือมารับพร้อมกับขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
     ก่อนที่จะเดินจากไป

     พ่อรวย: "เขาก็ไม่ต่างอะไรจากพนักงานของฉัน มีคนจำนวนมากที่ชอบพูดว่า สำหรับเขาแล้ว
เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญในชีวิต คนพวกนี้ก็เป็นพวกหลอกตัวเอง ถ้าเงินไม่สำคัญ แล้วพวกเขายอมทำงาน
วันละ 8 ชั่วโมงเพื่ออะไรถ้าไม่ใช่เพื่อเงิน จะว่าไปแล้วคนพวกนี้น่าสงสารเสียยิ่งกว่าพวกตั้งหน้าตั้งตา
สะสมเงินเสียอีก"


     พอฟังมาถึงจุดนี้ ทำให้ โรเบิร์ต นึกถึงพ่อตนเองที่มักพูดอยู่เสมอว่า "เงินไม่สำคัญสำหรับพ่อ"
พ่อพูดบ่อยๆว่า "พ่อทำงาน เพราะพ่อรักงานของพ่อต่างหาก"

     โรเบิร์ต: "แล้วเราควรทำยังไงครับ" "ไม่ทำงานเพื่อเงิน จนกว่าความกลัวและความอยากได้จะหมดไปอย่างนั้นเหรอครับ"

     พ่อรวย: "ไม่ใช่ ถ้าทำอย่างนั้นก็เสียเวลาเปล่าน่ะสิ ความรู้สึกและอารมณ์เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์
เป็นพลังงานที่คุกรุ่นและคอยผลักดันให้เรารู้จักต่อสู้ เราทุกคนมีความรู้สึกนี้ และต้องรู้จักนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์"

     ไมค์: "โอ...งงจังเลยครับ"

     พ่อรวย: "เอาเถอะ แล้ววันหนึ่งเธอจะเข้าใจ ตอนนี้ขอแค่คอยสังเกตุความรู้สึกของตัวเอง อย่าปล่อยให้อารมณ์มาเป็นตัวกำหนดการกระทำ จงมีสติรับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้น จงใช้สมองและความคิด
เป็นตัวกำหนดการกระทำ แต่อย่าใช้อารมณ์มากำหนดการกระทำเป็นอันขาด"

     โรเบิร์ต: "พอจะยกตัวอย่างได้ไหมครับ"

     พ่อรวย: "ได้สิ อย่างเช่น คำพูดที่ว่า ฉันจำเป็นต้องหางานทำให้ได้ นั่นคือการพูดจากอารมณ์
ความรู้สึกกลัว กลัวว่าจะไม่มีเงิน"

     โรเบิร์ต: "แต่ทุกคนจำเป็นต้องมีเงินไว้ใช้จ่าย"

     พ่อรวย: "ถูกต้อง แต่นี่คือตัวอย่างของการใช้ความกลัวกำหนดการกระทำ"

     ไมค์: "ผมไม่เข้าใจ"

     พ่อรวย: "ยกตัวอย่างเช่น หากความกลัวว่าจะไม่มีเงินผุดขึ้นมาในความคิดของเธอ แทนที่จะรีบลนลานออกไปหางานทำ ทำไมไม่หยุดคิด แล้วลองถามตัวเองเสียก่อนว่า การได้งานสามารถแก้ไขปัญหาได้ในระยะยาวหรือเปล่า ในความคิดของฉันแล้ว งานไม่ใช่คำตอบเลย งานเป็นเพียงการแก้
ปัญหาความกลัวไม่มีเงินได้ในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น"

     โรเบิร์ต: "แต่พ่อผมสอนว่า ให้ตั้งใจเรียน จะได้มีงานมั่นคงทำ"

     พ่อรวย: "ฉันรู้ คนส่วนใหญ่เชื่ออย่างนั้น ก็เพราะความกลัวอีกนั่นแหละ"

     โรเบิร์ต: "พ่อผมกลัวเหรอครับ"

     พ่อรวย: "ใช่ เขากลัวเธอจะไม่มีเงิน กลัวว่าเธอจะไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม แต่อย่าเข้าใจผิดนะ ฉันรู้ว่าพ่อรักเธอมากและต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอ เขาจึงพูดอย่างนั้น การศึกษาและการทำงานเป็นสิ่งสำคัญ แต่มันไม่สามารถหยุดความกลัวที่ทำให้เราต้องตื่นเช้าไปทำงานทุกวัน เพื่อเงินเดือนซึ่งไม่เคยพอกับค่าใช้จ่าย จนทำให้เขามีปัญหาการเงินดังที่เป็นอยู่"

     โรเบิร์ต: "ถ้างั้นเราควรทำยังไงครับ"

     พ่อรวย: "ฉันจะสอนให้เธอเป็นนายของเงิน เพื่อจะได้ไม่ตกเป็นทาสของมัน วิชานี้เป็นวิชาที่โรงเรียนไม่เคยสอน ใครที่ไม่ได้เรียนวิชานี้ ก็ต้องตกเป็นทาสของเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"


     ภาพในความคิดของ โรบิร์ต เริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง โรเบิร์ต เริ่มมองเห็นสิ่งที่ ป้ามาร์ติน คนงานของพ่อรวย และแม้แต่พ่อของตัวเองในมุมที่ โรเบิร์ต ไม่เคยเห็น บทเรียนของพ่อรวยค่อนข้างโหดร้าย แต่ทำ
ให้ โรเบิร์ต จำได้แม่นยำ โรเบิร์ต เริ่มเห็นว่าคนส่วนใหญ่เดินเข้าไปติดกับดักได้อย่างไร

     พ่อรวย: "เธอเข้าใจไหม ที่สุดแล้วทุกคนก็คือลูกจ้าง แต่เป็นลูกจ้างในระดับที่แตกต่างกัน ฉันอยากให้เธอหลีกเลี่ยงกับดักซึ่งถูกสร้างขึ้นมาจากความกลัวและความโลภ และจะสอนให้เธอใช้ความโลภและความกลัวให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง ไม่ใช่ให้มันมาขัดขวางชีวิตเธอ ฉันจะไม่สอนวิธีหาเงินให้ได้มากๆ เพราะนั่นไม่ช่วยขจัดความกลัวให้หมดไปได้ และจงจำเอาไว้ว่า แม้จะมีเงินทองมากแค่ไหนก็ตาม หากเธอยังมีความรู้สึกสองอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา เธอก็คือทาสคนหนึ่งของมันนั่นเอง"

     โรเบิร์ต: "แล้วเราจะหลีกเลี่ยงกับดักได้อย่างไรครับ"

     พ่อรวย: "ความยากจนมีสาเหตุมาจาก ความกลัว และ ความเขลา ไม่ใช่ปัญหาเศรษฐกิจ รัฐบาล หรือคนรวย ความกลัวและความเขลาทำให้เราติดกับดักเพราะฉะนั้น เธอจงไปเรียนหนังสือ เพื่อเอาปริญญา แล้วฉันจะสอนวิธีหลีกเลี่ยงกับดักให้เธอเอง"

     ภาพต่อชิ้นสำคัญปรากฎขึ้นมาในหัวของ โรเบิร์ต พ่อที่แท้จริงของ โรเบิร์ต เป็นคนเรียนจบสูง พ่อมีการศึกษาที่ดี มีหน้าที่การงานที่ดี แต่พ่อไม่เคยได้เรียนรู้เรื่องการจัดการเงินและความกลัวจากโรงเรียนของพ่อเลย และ โรเบิร์ต กำลังจะได้เรียนในสิ่งที่ที่สำคัญและแตกต่างจากพ่อทั้งสองคน


     ไมค์: "พ่อพูดถึงความกลัวไม่มีเงิน แล้วความต้องการเงินละครับ มีผลต่อความคิดเรายังไง"

     พ่อรวย: "ตอนที่พ่อเสนอขึ้นค่าจ้างให้ ลูกรู้สึกอย่างไร อยากได้เงินมากๆ ใช่ไหม" เด็กทั้งสองพยักหน้า

     พ่อรวย: "ถ้าเราสามารถควบคุมความต้องการได้ เราจะเลื่อนเวลาในการตอบสนองให้ช้าออกไปและมีเวลาในการคิดมากขึ้น อันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากเราทุกคนมีความกลัวและความโลภเหมือนๆ กัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะนำมันมาใช้สร้างประโยชน์ให้กับตัวเองในระยะยาวได้อย่างไร สำคัญคือ อย่าให้อารมณ์เข้ามาควบคุมความคิดเด็ดขาด คนส่วนใหญ่ใช้ความกลัวและความโลภเป็นกำแพงก้นไม่ให้ตัวเองเดินไปข้างหน้า และนั่นเป็นต้นกำเนิดของความเขลาเบาปัญญา พวกเขาตั้งตารอคอยวันเงินเดือนออก รอโอกาศที่จะได้ขึ้นเงินเดือน เพราะความกลัวและความต้องการ โดยไม่คำนึงถึงชีวิตในวันข้างหน้าว่าจะเป็นอย่างไร ชีวิตของพวกเขาไม่ต่างอะไรกับลาที่ถูกล่อให้เดินตามหัวแคร์รอต จนไม่เคยเหลียวดูหนทางที่มันกำลังเดินไป ได้เพียงแต่หวังว่าพรุ่งนี้จะยังมีแคร์รอตให้มันเดินตามอยู่เหมือนเดิม"


     ไมค์: "หมายความว่า ทุกครั้งที่ผมคิดถึงถุงมือเบสบอลใหม่ ขนม และของเล่นชิ้นใหม่ ผมกำลังมองเห็นแคร์รอตอย่างนั้นเหรอครับ"

     พ่อรวย: "ถูกต้อง เมื่อโตขึ้น ของเล่นของลูกก็จะแพงขึ้น กลายเป็นรถคันใหม่ เรือลำใหม่ หรือบ้านหลังที่ใหญ่ขึ้น เพื่อเอาไว้อวดเพื่อนฝูง ความต้องการและความกลัวทำให้ลูกเดินไปติดกับดัก"

     ไมค์: "ความเขลายิ่งทำให้ระดับความกลัวและความต้องการอันแรงกล้าส่งผลเลวร้ายลงไปอีก บางครั้งมันทำให้คนที่รวยมาก ยิ่งกลัวมาก ทั้งๆที่พวกเขารวยมากขึ้น เนื่องจากแคร์รอตทำให้มันเกิดภาพลวงตา ถ้าเจ้าลาโง่ได้เห็นภาพที่สมบูรณ์ทั้งหมด มันอาจหยุดคิด และอาจหยุดไม่ยอมเดินตามหัวแคร์รอตก็เป็นได้"


     พ่อรวยบอกว่า เมื่อไรที่เราหยุดไฝ่หาความรู้ทั้งจากภายนอกและภายในตัวของเราเอง นั่นคือจุดเริ่มต้นของความเขลา ที่ทำให้ชีวิตยากลำบากในแต่ละวันเราจะต้องตัดสินใจอยู่เสมอว่า จะเปิดตาหรือปิดตัวเองอยู่กับความโง่เขลา


     พ่อบอกว่า "โรงเรียนเป็นสิ่งสำคัญ เราไปโรงเรียนเพื่อหาความรู้เพื่อจะได้เป็นคนมีประโยชน์ต่อสังคม ทุกสังคมต้องการครู หมอ ตำรวจ ทนาย ช่าง คนทำงานศิลปะ พ่อครัว นักธุรกิจ โรงเรียนเป็นที่ผลิตคนในสาขาอาชีพต่างๆ เหล่านี้ แต่ก็น่าเสียดายที่โรงเรียนเป็นจุดจบสำหรับคนบางคน ไม่ใช่จุดเริ่มต้น"


     เด็กทั้งสองเงียบกันไปครู่หนึ่ง พ่อรวยยิ้ม โรเบิร์ตยอมรับว่ายังไม่เข้าใจทั้งหมดที่พ่อรวยสอน แต่ก็จดจำทุกคำพูดเอาไว้ เพราะเชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์ และกลับมาสอนตัวเองได้อีกในวันข้างหน้า

     พ่อรวย: "พ่อรู้ว่าเรื่องที่พูดวันนี้ดูออกจะโหดร้ายไปสักหน่อย" พ่อรวยทำลายความเงียบ "แต่พ่ออยากให้ลูกจำที่เราคุยกันวันนี้ให้ดี จำคุณมาร์ตินและเจ้าลากับหัวแคร์รอต และจำไว้ด้วยว่า ถ้าเธอไม่รู้จักควบคุมและระวังความคิดของตัวเอง ควมกลัวและความอยากจะพาเธอไปติดกับดักชีวิตที่ยิ่งใหญ่"

     "การมีชีวิตที่อยู่กับความกลัว จนไม่กล้าเดินตามความฝันของตนเองเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก การอดทนทำงานหนักเพื่อเงิน และคิดว่ามันจะช่วยซื้อความสุขให้กับตัวเองได้ ก็เลวร้ายไม่แพ้กัน เช่นเดียวกับการตื่นขึ้นกลางดึก ด้วยความกังวลว่าจะมีเงินไม่พอจ่ายหนี้ การมีชีวิตที่ขึ้นกับเงินเดือนไม่ใช่ชีวิตที่แท้จริง การคิดว่างานคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตมั่นคง ถือเป็นกับดักขนาดมหึมาที่ลูกจะต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้ติดกับของมัน พ่อเห็นคนที่ปล่อยให้เงินควบคุมชีวิตมามากแล้ว ขออย่าให้มันควบคุมชีวิตลูกทั้งสองเลย"

      ลูกซอฟต์บอลกลิ้งมาใต้โต๊ะที่เด็กทั้งสองนั่ง พ่อรวยก้มหยิบแล้วโยนกลับไป

     พ่อรวย: "ความเขลาและความไม่เอาใจใส่ในเรื่องเงินทอง เป็นต้นเหตุของความกลัวและความโลภ ตัวอย่าง เช่น หมอขึ้นค่ารักษา เพราะอยากได้เงินมากขึ้น เมื่อค่ารักษาพยาบาลเพิ่ม ค่าประกันสุขภาพก็เพิ่มตาม เคราะห์ร้ายจึงเกิดกับคนยากจน เมื่อหมอขึ้นค่ารักษา ทนายก็ขึ้นค่าบริการ ครูในโรงเรียนจึงขอขึ้นเงินเดือน เพื่อให้พอกับค่าครองชีพ ส่งผลกระทบต่อกันเป็นลูกโซ่ ทำให้ช่องว่างระหว่างคนมีและคนจนกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนวันหนึ่งสังคมจะแตกแยก สหรัฐอเมริกาก็เช่นกัน ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเพราะเราไม่รู้จักนำอดีตมาเป็นบทเรียน โรงเรียนก็ได้แต่สอนให้ท่องจำวันเวลาและสถานที่ของเหตุการณ์ประวัติศาสตร์กันเท่านั้น"

     โรเบิร์ต: "ข้าวของก็จะแพงขึ้นด้วยใช่ไหมครับ"  

     พ่อรวย: "ตามทฤษฎีแล้ว ถ้าเรามีรัฐบาลที่มีความสามารถในการบริหารจัดการที่ดี ข้าวของก็จะไม่แพงขึ้น ของแพงขึ้นก็เพราะความกลัว ความโลภและ เพราะโรงเรียนไม่เคยสอนเรื่องการจัดการเงินให้ พวกเขาสอนให้เด็กนักเรียนทำงานเพื่อเงิน แต่ไม่เคยสอนวิชาการควบคุมอำนาจเงิน"

     ไมค์: "แต่เรามีโรงเรียนมากมายที่สอนวิชาธุรกิจนี่ครับ พ่อไม่อยากให้ผมเรียนปริญญาโททางบริหารธุรกิจเหรอครับ"

     พ่อรวย: "ก็จริงอยู่ แต่โรงเรียนเหล่านั้นทำได้แค่ผลิตนักคำนวณ แต่ไม่ได้ผลิตหรือสร้างผู้ประกอบการขึ้นมา พวกเขาทำได้แค่คิดเลข ไล่คนออก และทำให้ธุรกิจเสียหาย ที่พ่อรู้เพราะพ่อเคยจ้างคนพวกนี้มาทำงานด้วย พวกเขาคิดอยู่แค่สองอย่าง นั่นคือ ลดต้นทุน และเพิ่มราคา ซึ่งการแก้ปัญหาด้วยสองวิธีนี้มักยิ่งทำให้เกิดปัญหามากขึ้น เพราะพวกเขามองเห็นแต่ภาพเล็กๆ เฉพาะงานของตัวเอง ไม่ได้มองเห็นภาพใหญ่หรือที่ต้องดูแลทั้งหมด"

     ไมค์: "แล้วเราจะทำอะไรได้บ้างครับ"

     พ่อรวย: "เธอต้องเรียนรู้ วิธีการใช้อารมณ์มาเป็นตัวผลักดันให้เธอใช้สมองคิด อย่าคิดด้วยอารมณ์และความรู้สึกที่มี เธอต้องฝึกฝนเรื่องนี้ตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยการเรียนรู้ที่จะทำงานโดยไม่ได้รับเงิน ซึ่งเธอทั้งสองคนได้แสดงให้ฉันเห็นแล้ว ตอนที่ปฏิเสธค่าจ้างสูงๆ ที่ฉันเพิ่มให้ นี่แหละ... คือก้าวแรก"

     โรเบิร์ต: "ขั้นตอนนี้สำคัญแค่ไหนครับ"

     พ่อรวย: "มันขึ้นอยู่กับเธอเองนั่นแหละ ถ้าเธอสนใจที่จะเรียน ฉันก็จะให้บทเรียนกับเธอ มันเป็นบทเรียนที่ยาก หลายคนหลีกเลี่ยงที่จะเรียนมันแต่ถ้าเธอกล้าพอ ฉันจะสอนวิธีให้เงินทำงานแทนเรา แทนที่เราจะต้องทำงานหนักเพื่อมัน"

     โรเบิร์ต: "ถ้าตกลงเรียนเราจะได้อะไรครับ"

     พ่อรวย: "อิสระภาพ"

     โรเบิร์ต: "แต่มันก็มีอุปสรรคใช่ไหมครับ"

     พ่อรวย: "ใช่ ความกลัวและความโลภของตัวเราเองนั่นแหละที่เป็นอุปสรรควิธีเดียวที่จะควบคุมความกลัวและความโลภได้คือ เราต้องเผชิญหน้ากับมันและเอาชนะมันด้วยการเลือกคิดนทางที่ถูกต้อง"

     ไมค์: "เลือกคิดยังไงครับ"

     โรเบิร์ต: "ลูกต้องใช้ความคิดแทนที่จะใช้อารมณ์ แทนที่จะลุกขึ้นไปทำงานทุกเช้า เพรากลัวว่าจะไม่มีเงินจ่ายหนี้และค่าใช้จ่ายต่างๆ ลูกต้องหยุดและตั้งคำถามกับตัวเองว่า การทำงานหนักเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับปัญหาดังกล่าวจริงหรือไม่ หลายคนปล่อยให้ความกลัวมาควบคุมวิถีชีวิตพวกเขาไม่กล้าคิด ไม่กล้ายอมรับความจริง ถ้าลูกต้องการมีชีวิตที่แตกต่าง ลูกต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ และเลือกวิธีคิดของตัวเองให้ถูกต้อง"

     ไมค์: "แล้วต้องทำยังไงครับ"

     พ่อรวย: "นั่นคือสิ่งที่พ่อจะสอน พ่อจะสอนวิธีคิดโดยไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง จำเอาไว้ว่า งานเป็นเพียงคำตอบในระยะสั้น ทุกคนมีปัญหาเหมือนกันเพียงแค่อย่างเดียว นั่นคือต้องหาเงินมาใช้จ่ายและชำระหนี้ในช่วงสิ้นเดือน พวกเขาจึงคิดถึงแต่วันเงินเดือนออก ปล่อยให้เงินมีอำนาจเหนือชีวิต แล้วก็ใช้ชีวิตอยู่ในวงจรเดียวกัน นั่นคือ ตื่นเช้าไปทำงาน โดยไม่เคยหยุดคิดเลยว่ามันมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้หรือไม่"

     ไมค์: "พ่อพอจะบอกเราได้ไหมครับว่า อันไหนเป็นความคิดที่ใช้อารมณ์ อันไหนเป็นความคิดที่ใช้สมอง"

     พ่อรวย: "แน่นอน เพราะพ่อได้ยินมันเกือบทุกันเลย อย่างเช่น  'ทุกคนต้องทำงาน' 'คนรวยขี้โกง'
'ผมควรจะได้เงินเดือนขึ้น ไม่เช่นนั้นผมจะลาออก' 'ฉันชอบงานนี้เพราะมันเป็นงานที่มั่นคง' ส่วนความคิดที่ใช้สมอง ก็อย่างเช่น 'นี่ฉันมองข้ามอะไรไปหรือเปล่า' "

     ระหว่างเดินกลับร้าน พ่อบอกว่าคนรวยทำเงินไม่ได้ทำงาน ตอนที่เด็กทั้งสองพยายามทำเหรียญปลอม พ่อบอกว่าเป็นความคิดที่ไกล้เคียงกับวิธีคิดของคนรวยมาก เพียงแต่ที่ทำมันผิดกฎหมาย มันมีวิธีที่ทำเงินถูกกฎหมาย นั่นคือ สร้างมันขึ้นมาจากความคิด

     พ่ออธิบายต่ออีกว่า เงินคือภาพลวงตา ไม่ต่างอะไรจากแคร์รอต แต่เพราะความกลัวและความโลภ ทำให้เราคิดว่าเงินเป็นของจริง ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่คนเราอุปโลกน์ขึ้นมา พ่อพูดถึงเรื่องระบบมาตรฐานทองคำที่หนุนหลังเงิน ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้กันในช่วงเวลานั้น สิ่งที่พ่อกังวลคือ พ่อเชื่อว่าวันหนึ่งสหรัฐฯ จะออกจากมาตรฐานดังกล่าว และเงินของพวกเราจะไม่มีสิ่งที่มีมูลค่าหนุนหลังอีกต่อไป ซึ่งนั่นจะยิ่งทำให้เงินเป็นสิ่งลวงตามากขึ้นไปอีก

     พ่อรวย: "ถ้าเกิดอย่างนั้นขึ้นเมื่อไหร่....แย่แน่ เพราะคนจน และคนชั้นกลาง และพวกที่ไม่เคยใส่ใจเรื่องเงิน จะพากันตั้งคำถามกันว่า พวกเขาจะมีชีวิตอยู่กันต่อไปอย่างไร พวกเขาจะเชื่อถือในเงินได้อีกหรือเปล่า บริษัทของพวกเขาจะเป็นอย่างไร และรัฐบาลจะยังดูแลชีวิตพวกเขาอีกหรือไม่"

     เด็กทั้งสองไม่เข้าใจทั้งหมดที่พ่อพูดวันนั้น จนกระทั่งหลายปีผ่านไป ทั้งสองจึงเริ่มมองเห็นในสิ่งที่พ่อเคยพูดเอาไว้



และแล้วบทความในหัวข้อ 

1. คนรวยไม่ทำงานเพื่อเงิน (ซึ่งก็ยังอยู่ในหัวข้อนี้อยู่เพราะหัวข้ออื่นๆจะย่อยลงไป)

2. เลี่ยงหลุมพลาง

ก็ได้จบลงเท่านี้แต่ยังไม่หมดเพราะภายในข้อมูลท่ผมเอามาเผยยังมีอีกเยอะเลย
แต่ช่วงที่บทความที่เขียนนี้ใช้เวลานานกว่าจะเผยแพร่ออกมา สาเหตุมาจาก

ที่ผมใช้เวลาของผมในการสร้างระบบธุรกิจที่ผมทำอยู่ซึ่ง ไม่ใช่งานประจำอะไรทั้งนั้น
แต่มันเป็นระบบที่ผมเรียนรู้และสร้างมันขึ้นมา เลยทำให้ต้องใช้เวลาตรงนั้นไปเป็นเวลานาน
แต่ก็มั่นใจได้เลยครับว่า

ผมจะยังมานั่งเขียนบทความที่ดีเพื่อให้ผู้ที่เข้ามาอ่านทุกๆคนได้อ่านอย่างแน่นอน
เพราะจะไม่เลิกกลางคันโดยง่ายๆเด็ดขาด

ก่อนจะจากกันไปใ ผมจะเอาแนวคิดดีๆมาฝากกัน

มีคนจำนวนมากที่ชอบพูดว่า สำหรับเขาแล้ว
เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญในชีวิต คนพวกนี้ก็เป็นพวกหลอกตัวเอง ถ้าเงินไม่สำคัญ แล้วพวกเขายอมทำงาน
วันละ 8 ชั่วโมงเพื่ออะไรถ้าไม่ใช่เพื่อเงิน จะว่าไปแล้วคนพวกนี้น่าสงสารเสียยิ่งกว่าพวกตั้งหน้าตั้งตา
สะสมเงินเสียอีก

แล้วพบกันในบทความต่อไปครับ


















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น